เอลเซท 129 ฮินเดนบูร์ก (เยอรมัน: LZ 129 Hindenburg) เป็นเรือเหาะของเยอรมนีที่สร้างคู่กับเรือเหาะลำน้องที่ชื่อ กราฟ เซปเปลิน 2 นับเป็นอากาศยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ใช้ช่วงบินให้บริการปีที่ 2 ได้เกิดไฟใหม้ระหว่างแล่นลอยตัวลงจอดที่ฐานทัพเรือเลคเฮิร์สท์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 มีผู้เสียชีวิต 36 คน นับเป็นเหตุการณ์ที่มีการรายงานโดยสื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ ภาพถ่ายและวิทยุกระจายเสียงมากที่สุด
เรือเหาะฮินเดนบูร์กได้รับการตั้งชื่อตาม เพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก (พ.ศ. 2390 – พ.ศ. 2477) ประธานาธิบดีแห่งประเทศเยอรมนีระหว่าง พ.ศ. 2468 – พ.ศ. 2477 ประธานาธิบดีคนสุดท้ายของเยอรมนีที่รับตำแหน่งจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ก่อนที่ฮิตเลอร์จะครองอำนาจ
เรือเหาะฮินเดนบูร์ก สร้างโดยบริษัท “ลุฟท์ชิฟฟ์เบา เซพเพลิน” (Luftschiffbau Zeppelin) เมื่อ พ.ศ. 2478 ยาว 245 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 41 เมตร ยาวกว่าเครื่องบินโดยสาร 747 สามลำมาเรียงต่อกัน แต่เดิมออกแบบโดยใช้ก๊าซฮีเลียมบรรจุ แต่สหรัฐฯ ห้ามส่งออกจึงต้องใช้ก๊าซไฮโดรเจนซึ่งติดไฟได้ตามปกติ ซึ่งต้องใช้ก๊าซบรรจุในลำตัวจำนวน 200,000 ลูกบาศก์เมตรโดยแยกบรรจุเป็น 16 ถุง สร้างแรงยกได้ 123.5 ตัน เรือเหาะพลเรือนของเยอรมันไม่เคยประสบอุบัติเหตุมาก่อนเลย จึงไม่มีผู้เกรงกลัวเท่าใด นอกจากนี้การใช้ก๊าซไฮโดรเจนยังเพิ่มแรงยกได้มากกว่าก๊าซฮีเลียม 8%
เรือเหาะฮินเดนบูร์กใช้เครื่องยนต์ปรับถอยหลังขนาดเครื่องละ 1,200 แรงม้า จำนวน 4 เครื่อง ทำความเร็วสูงสุดได้ 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นค่าก่อสร้างในสมัยนั้น 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าโดยสารจากประเทศเยอรมนีถึงเมืองเลคเฮิร์ส สหรัฐอเมริกา คนละ 400 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าแพงมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในขณะนั้น (มีค่าเท่ากับประมาณ 6,100 เหรียญฯ หรือกว่า 200,000 บาทในปัจจุบัน)
เพื่อลดแรงฉุด ห้องโดยสารของเรือเหาะฮินเดนบูร์กจึงถูกวางตัวไว้ภายในลำเรือทั้งหมด ต่างจากเรือเหาะกราฟเซบเปลินที่ทำเป็นแบบห้องแขวน ห้องนอนผู้โดยสารซึ่งเป็นห้องนอนขนาดเล็กจัดไว้ชั้นบนสุด ส่วนชั้นกลาง รอบๆ ด้านนอกเป็นส่วนสาธารณะใช้เป็นห้องอาหาร ห้องเขียนหนังสือและห้องนั่งเล่น มีหน้าต่างกระจกเอียงลาดตามลำตัวยานทั้งสองชั้นโดยหวังให้ผู้โดยสารใช้เวลาส่วนใหญ่ในพื้นที่ส่วนรวมแทนห้องนอนที่แคบ ชั้นล่างเป็นห้องนักบิน ห้องอาหารและห้องน้ำสำหรับลูกเรือ รวมทั้งห้องสูบบุหรี่ที่มีการควบคุมการซึมของก๊าซไฮโดรเจนอย่างเข้มงวด
ในสมัยนั้น ธุรกิจการขนส่งข้ามมหาสมุทรด้วยเรือเหาะ กับ ธุรกิจการขนส่งข้ามมหาสมุทรด้วยเรือสำราญเครื่องจักรไอน้ำ กำลังแข่งขันกัน ภายในฮินเดนบูร์กจึงเต็มไปด้วยความหรูหรา มีทั้งบาร์ ห้องสูบบุหรี่(ห้องนี้ต้องควบคุมหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะควบคุมไม่ให้แก๊สไฮโดรเจนรั่วไหลเข้าไป) เตาไฟฟ้า ห้องอ่านและเขียนหนังสือ ห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่มีเทคโนโลยีทันสมัย และหรูหราสมเป็นพาหนะชั้นยอด ห้องพักผู้โดยสารมี 25ห้อง แต่ละห้องพักได้2คน ไม่มีการแบ่ง FIRST CLASS, SECOND CLASS, THIRD CLASS เหมือนเรือสำราญ ทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน มีหน้าต่างระเบียงชมทิวทัศน์เป็นทางเดินยาว 15 เมตร 2 ฟากเรือ อาหารรสเลิศ ไวน์ชั้นเยื่ยม แต่ค่าโดยสารแพงมาก เทียบเป็นราคาปัจจุบันแล้วก็พอ ๆ กับราคารถยนต์ขนาดครอบครัวหรูๆ หนึ่งคัน ต่อหัว ต่อเที่ยว
ในปีแรกคือ พ.ศ. 2479 เรือเหาะฮินเดนบูร์กเดินทางรวม 308,323 กิโลเมตร รับส่งผู้โดยสาร 2,798 คน และขนสินค้า 160 ตัน เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก 17 เที่ยว โดย 10 เที่ยวไปสหรัฐและ 7 เที่ยวไปบราซิล ในเดือนกรกฎาคมปีนั้นยังทำลายสถิติเดินทางข้ามไปกลับมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยเวลาเพียง 5 วัน 19 ชั่วโมงและ 51 นาที แม็ก ชเมลิงก็ได้เดินทางกลับพร้อมด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในวงการมวยโลกเป็นวีรบุรุษเยอรมันจากการชนะการน็อคเอาท์โจ หลุยส์ในสหรัฐฯ ในที่ยวนี้ด้วย
การให้บริการในปีแรกนี้มีการนำเปียโนอะลูมิเนียมขึ้นไปบรรเลงให้ความบันเทิงผู้โดยสารด้วย “คอนเสิร์ทกลางเวหา” แต่สุดท้ายก็ถูกยกเลิกเพื่อลดน้ำหนัก ความสำเร็จดังกล่าวทำให้บริษัท“ลุฟท์ชิฟฟ์บาว เซพเพลิน” วางแผนเพิ่มการผลิตและการให้บริการข้ามมหาสมุทรเพิ่มขึ้น
ระหว่างฤดูหนาวปี พ.ศ. 2479-2480 ได้มีการปรับปรุงเรือเหาะอีกหลายส่วนทำให้สามารถเพิ่มจำนวนผู้โดยสารได้อีก 10 คน รวมเป็น 72 คน
การเดินทางเที่ยวสุดท้ายของฮินเดนบูร์ก คือ เที่ยวที่18 จากเมืองฟรังค์ฟูร์ทอัมไมน์ ประเทศเยอรมนี สู่รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะถึงอเมริกาในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1937 เวลา 6 นาฬิกาตรง แต่อากาศไม่เป็นใจ ลมแรงมาก ฮินเดนบูร์กต้องฝ่าลมแรงไป ทำให้ถึงจุดหมายล่าช้าไป 12 ชั่วโมง แต่ฮินเดนบูร์กก็ไม่สั่นสะเทือนแม้แต่น้อย
เรือเหาะฮินเดนบูร์กออกเดินทางจากฟรังค์ฟูร์ทอัมไมน์ในคืนวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 เพื่อเดินทางไปเลคเฮิร์ทส์ นิวเจอร์ซีย์การเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีกระแสลมแรงต้านอยู่บ้าง ผู้โดยสารมีเพียงครึ่งลำ คือ 36 คนและมีลูกเรือ 61 คน แต่ในเที่ยวกลับได้รับการจองที่นั่งเต็มลำ เรือเหาะฮินเดนบูร์กเดินทางถึงอเมริกาในวันที่ 6 พฤษภาคม ซึ่งล่าช้ามากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังล่าช้ามากขึ้นจากการแปรปรวนของอากาศที่ท่าจอด กัปตันเรือคือ “แมกซ์ พรุสส์” จึงพาผู้โดยสารยินชมนครนิวยอร์ก ชายฝั่งบอสตันและนิวเจอร์ซีย์
เมื่ออากาศดีขึ้น เรือเหาะฮินเดนบูร์กจึงได้มุ่งเข้าเทียบฐานจอดเลคเฮิร์ทเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ที่ความสูง 215 เมตร การลงจอดที่เลคเฮิร์ทเป็นการจอดวิธิใหม่โดยมาหยุดในที่สูงแล้วหย่อนเชือกลงมาให้เครื่องกว้านบนหอคอยทำงานแทนคนจำนวนมาก แต่วิธีนี้ต้องใช้เวลามากกว่าเพราะต้องมีความแม่นยำ เมื่อเวลา 19.08 น. เรือแล่นเลี้ยวซ้ายด้วยความเร็วเต็มที่และมาถึงจุดเทียบ กัปตันเบาเครื่องยนต์และเปิดวาล์วก๊าซเพื่อให้เรือหยุดตัว เมื่อเวลา 19.14 ที่ความสูง 120 เมตร กัปตันสั่งให้เดินเครื่องถอยหลังเต็มที่เพื่อให้เรือเหาะหยุด เวลา 19.19 น. มีการทิ้งถุงน้ำถ่วงนำหนัก 3 ถุง คือ 300, 300 และ 500 กิโลกรัมเพื่อให้เรือได้ระนาบ และให้ลูกเรือ 6 คนมาถ่วงน้ำหนักอยู่ทางหัวเรือ (เสียชีวิตหมดทุกคน) แต่ความพยายามทั้งหมดไม่เป็นผล อย่างไรก็ตามกัปตันพรุสส์ก็ได้รับอนุญาตให้ทำการจอดได้ เมื่อเวลา 19.21 น.ที่ความสูง 90 เมตร มีการทิ้งเชือกผูกฐานจอดที่กำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อเวลา 19.25 น. พยานที่เห็นเหตุการณ์รายงานว่าได้มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาใกล้ท่อระบายด้านหน้าของครีบบน
ณ เวลา 19.12 น. เรือเหาะฮินเดนบูร์กติดไฟและลุกเป็นไฟก้อนใหญ่อย่างรวดเร็วโดยไม่ระเบิดอย่างที่ทุกคนคาดกันไว้ ไฟเริ่มลุกใหม้ที่ถุง 4 แล้วลามอย่างรวดเร็วมาทางส่วนหน้า ส่วนหลังบนของยานหักโดยยานยังคงรูปแต่เงยส่วนหน้าขึ้น ในขณะที่ส่วนหางตกกระแทกพื้นดินก็มีเปลวไฟประทุพุ่งออกทางส่วนหัวเรือ ทำให้ลูกเรือทั้งหกคนเสียชีวิต เนื่องจากส่วนหัวของยานยังคงมีก๊าซ หัวเรือจึงยังคงเชิดอยู่ เมื่อส่วนที่เป็นที่ตั้งเครื่องยนต์และส่วนห้องโดยสารด้านหลังจึงหลุบเข้าไปในตัวหัวเกิดเพลิงลุกใหม้เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เมื่อล้อห้องโดยสารกระแทกพื้น เรือเหาะฮินเดนบูร์กได้กระดอนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ผ้าหุ้มตัวเรือลุกไหม้เรือเหาะฮินเดนบูร์กทั้งลำจึงตกลงสู่พื้นทั้งหมดโดยเอาด้านหัวลงก่อน
ความหายนะครั้งนี้ได้รับการบันทึกไว้อย่างละเอียดมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ ทั้งข่าวถ่ายภาพยนตร์ ภาพนิ่งและการรายงานสดทางวิทยุกระจายเสียง เป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายภาพเหตุการณ์สดๆ ด้วยภาพยนตร์ “เฮอร์เบิร์ต มอร์ริสัน” กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากการถ่ายภาพและอัดเสียงภาพยนตร์ข่าวอันน่าตื่นเต้นในครั้งนี้
โดยความเป็นจริงแล้วเรือเหาะกราฟ เซบเปลินของยเอรมันไม่เคยประสบอุบัติเหตุใดๆ มาก่อนเหตุการณ์ครั้งนี้เลย จะมีก็เป็นของผู้ผลิตอื่นของประเทศอื่น เซบเปลินเดินทางมาแล้ว 1. 6 ล้านกิโลเมตร รวมทั้งการเดินทางรอบโลกเป็นผลสำเร็จ บริษัท “ลุฟท์ชิฟฟ์บาว เซพเพลิน” มีความภาคภูมิใจที่ไม่เคยมีผู้โดยสารเสียชีวิตหรือบาดเจ็บแม้แต่รายเดียว
การายงานข่าวที่น่าตระหนกมีผลให้คนหมดความเชื่อมั่นในการเดินทางด้วยเรือเหาะและหันไปโดยสารเครื่องบินที่แม้จะอึดอัดคับแคบกว่าแต่ก็เร็วกว่ามากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทการบินแพนอเมริกันของสหรัฐฯ สามารถเปิดบริการธุรกิจบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เป็นประจำ
ในสมัยนั้น เทคโนโลยีการสืบสวนหายนะยังไม่ดีนัก การสืบสวนในสมัยนั้นจึงไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ เมื่อนักวิชาการยุคปัจจุบันจะมาสืบสวน สิ่งที่มีให้สืบสวนก็มีเพียง หลักฐานแสดงคำบอกเล่าของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ฟิล์มวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ การสืบสวนดำเนินไปนานพอสมควร ก็ได้ข้อสรุปที่แน่นอนว่า การใช้ผ้าลินินในการห่อหุ้มเรือเหาะฮินเดนบูร์กทั้งลำนั้น ระหว่างการเดินทางจะเกิดการเสียดสีกับอากาศ ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต การเสียดสีเกิดขึ้นตลอดเส้นทางจนกลายเป็นไฟฟ้ามหาศาล สถิตอยู่ในผ้าลินิน และลวดภายในเรือ เมื่อเดินทางมาถึงและเตรียมลงจอดนั้น เกิดมีลมเปลี่ยนทิศ ถ้าหากจะจอดดีๆ ต้องอ้อมสนามบินไปลงจอด แต่ในขณะนั้น ฮินเดนบูร์กเดินทางมาถึงล่าช้าไปแล้ว 6 ชม. กัปตันตัดสินใจเลี้ยวเรือเหาะโดยตีวงเลี้ยวแคบมาก ซึ่งฮินเดนบูร์กไม่ได้ออกแบบให้มีวงเลี้ยวแคบขนาดนั้น ลวดเส้นหนึ่งทนแรงเหวี่ยงจากการเลี้ยวไม่ไหวจึงขาด และสะบัดไปโดนถุงแก๊สไฮโดรเจน ทำให้แก๊สรั่วออกมา และเมื่อฮินเดนบูร์กปล่อยเชือกลงมายังพื้นดินเพื่อให้ภาคพื้นดินดึงเรือเหาะลงไป ไฟฟ้าสถิตในเรือเหาะถูกส่งผ่านสายเชือกลงมายังพื้นดิน ลวดสามารถนำไฟฟ้าผ่านไปยังเชือก และนำลงสู่พื้นดินได้อย่างรวดเร็ว แต่ผ้าลินินไม่นำไฟฟ้าดีนัก ไฟฟ้าจึงเดินทางออกไปได้ช้ากว่า ไม่นานก็เกิดเป็นความต่างศักย์ของไฟฟ้าภายในเรือเหาะ และในที่สุดเมื่อความต่างศักย์ระหว่างผ้าลินินกับลวดสูงมากพอ ก็เกิดกระแสไฟฟ้าที่มองเห็นได้ (คล้ายๆกับฟ้าผ่า) เดินทางจากผ้าลินินไปหาลวด ซึ่งการเดินทางของไฟฟ้าทำให้มีอุณหภูมิสูงพอที่ทำให้แก๊สไฮโดรเจนที่รั่วออกมาอยู่แล้วเกิดติดไฟ และฮินเดนบูร์กก็พบจุดจบ
ผู้โดยสารและลูกเรือส่วนใหญ่รอดชีวิต จากจำนวนผู้โดยสาร 36 คน และลูกเรือ 61 คน มีผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้โดยสาร 13 คน ลูกเรือ 22 คน มีลูกเรือภาคพื้นดินเสียชีวิตด้วยอีก 1 คน การเสียชีวิตเกือบทั้งหมดมิได้เกิดจากไฟ แต่เป็นการกระโดดลงจากที่สูง ผู้โดยสารที่อยู่กับห้องโดยสารปลอดภัยทั้งหมดเนื่องจากเปลวไฟที่ร้อนจัดพัดขึ้นเบื้องสูง ลูกเรือที่ตายมากเนื่องจากได้พยายามเข้าไปช่วยผู้โดยสารที่อยู่ในห้องโดยสารหรือที่โดดลงมาก่อน
ในยุคที่ยังไม่ทราบสาเหตุอันแท้จริง สาเหตุอันแท้จริงสาเหตุการลุกใหม้ของเรือเหาะฮินเดนบูร์กได้ถูกเล่าลือไปในด้านต่างๆ มากมาย ซึ่งอาจสรุปโดยสังเขปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้